ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Outsource & In-house

Outsource & In-house

จะเลือก In house หรือ Outsource อย่างไร
           ในการดำเนินธุรกิจ องค์กรจะต้องตัดสินใจว่า จะดำเนินการผลิตเอง ที่เรียกว่า “In house” หรือจะว่าจ้างให้คนอื่นทำ ที่เรียกว่า “Outsource” ซึ่งทั้ง 2 แบบมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน
           การบริหารแบบ In house มีจุดแข็ง คือ การควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพในการดำเนินงานทำได้ดีกว่า แต่ต้องขยายธุรกิจด้วยการลงทุนทรัพยากรต่างๆ เพิ่มขึ้น และมักพบปัญหาว่าองค์กรจะใหญ่โตอุ้ยอ้าย ขาดความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ เช่น การเพิ่มการลงทุนผลิตเครื่องยนต์ด้วยตนเอง ก็ต้องมีการขยายโรงงานและเพิ่มกำลังคนมากขึ้น

          การบริหารแบบ Outsource มีจุดแข็ง คือ ให้องค์กรหรือบริษัทที่มีความชำนาญเฉพาะด้านดำเนินงาน เช่น บริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ด้านบัญชี ด้านการวางระบบคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างที่ชัดเจน คือโครงการก่อสร้างจะมี Outsource ที่เรียกว่า Sub Contractor จำนวนหลายราย เช่น งานเสาเข็มและฐานราก งานก่อสร้าง งานระบบไฟฟ้า งานสุขภิบาล งานเครื่องปรับอากาศ งานตบแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้สำนักงาน และงานจัดสวน    เป็นต้น
         
   ดังนั้น ในการตัดสินใจขององค์กรว่าเลือก   In house หรือ Outsource มักจะคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้
1)    ความเป็นผู้ชำนาญการในวิชาชีพหรือทักษะนั้นๆ รวมถึง ศักยภาพของบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินงาน ต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติและประวัติการดำเนินงานเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจได้
2)    การบริหารควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน การผลิต ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ ต้องเปรียบเทียบทั้ง 2 ทางเลือกในระยะสั้นและระยะยาว
3)    การบริหารองค์กรมีความยืดหยุ่นมากน้อยเพียงใด เช่น คำสั่งซื้อต้นปีมีจำนวนมาก   แต่ปลายปียอดสั่งซื้อลดลง  องค์กรจะบริหารงานอย่างไร

           งานของ HR ก็ต้องคิดต้องตัดสินใจว่าจะเลือก In house หรือ Outsource เช่นกัน โดยใช้ปัจจัยข้างต้นเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ เช่น งานรักษาความปลอดภัย งานดูแลต้นไม้จัดสวน งานทำความสะอาดอาคารสูง งานบริการรถรับ–ส่งพนักงานและผู้บริหาร ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะใช้การบริหารแบบ Outsource มากขึ้น
         
  การจ้างเหมาแรงงานที่เรียกว่า Sub Contract ก็เป็นการบริหารแบบ Outsource อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่การผลิตมีทั้งมาก และน้อยสลับกันไปตามแต่ละประเภทอุตสาหกรรม ไม่ใช่พนักงานชั่วคราวตามที่บางคนเรียกกัน ดังนั้น การตัดสินใจด้านกำลังคน จะมีวิธีการเลือกได้ 3 แนวทาง ดังนี้
           1) สัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน   สามารถกำหนดช่วงเวลาในการทดลองงานนานเท่าใดก็ได้   แต่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหากจะมีการเลิกสัญญา ทั้งนี้มักใช้ในการว่าจ้าง Staff สำนักงาน

           2) สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน ต้องกำหนดวันเริ่มต้น และวันสิ้นสุดไว้ หากต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนดจะทำได้ก็ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่มีฝีมือตามที่แจ้งไว้ ตัวอย่าง เช่น งานล่ามแปลภาษาต้องสามารถแปลและเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ ที่เรียกว่า Freelance หรืองานอิสระ โดยทำสัญญามีกำหนดเวลา 1 ปี หรือ การว่าจ้างที่ปรึกษา     เป็นต้น

           3) สัญญาจ้างเหมาแรงงาน (Sub Contract) เป็นสัญญาระหว่างบริษัทต่อบริษัท โดยที่มีฝ่ายผู้ว่าจ้างและฝ่ายผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างมีหน้าที่ในการสรรหาคัดเลือกบุคลากร โดยมีผู้ว่าจ้างคอยตรวจสอบการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามสัญญา นอกจากนี้ ผู้รับจ้างยังมีหน้าที่อื่นๆ เช่น การให้การอบรม การดูแลความปลอดภัยในการทำงาน การจ่ายค่าจ้างและจัดสวัสดิการต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึง การดำเนินการทางวินัยหรือลงโทษพนักงาน Sub Contract  บางครั้งฝ่าย HR ของผู้ว่าจ้างอาจหลงลืมไปก้าวก่ายหน้าที่ลงโทษพนักงานเหล่านี้  จึงขอเตือนว่า  HR ไม่ใช่นายจ้างของ Sub Contract ต้องให้ทีมงานของผู้รับจ้างเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าวครับ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีใช้ Google Form ส่งข้อความเข้า LINE Notify

วิธีใช้ Google Form ส่งข้อความเข้า LINE Notify           ขั้นตอนต่อไปนี้จะข้ามส่วนของรายละเอียดบางอย่างไป ซึ่งก่อนจะทำตรงนี้ควรจะรู้แล้วว่า LINE Notify ใช้ทำอะไร และ Access Token จะเอามาจากไหน แต่จะพยายามอธิบายให้ครอบคลุมที่สุดก็แล้วกัน Update: 2019/06/10 ในท้ายบทความได้เพิ่มคำอธิบายเรื่องการส่งข้อมูลหลายกล่องข้อมูล (คอลั่ม) พร้อมกับ code ที่วนลูปข้อมูลทุกกล่อง เพื่อความสะดวกในการส่งข้อมูลในรูปแบบเดิม สร้าง Google Form วิธีสร้างก็ง่ายแสนง่าย เข้าไปที่  https://docs.google.com/forms  จากนั้น คลิกตรงเครื่องหมาย + ตามภาพ จะได้ form หน้าตาแบบนี้มา แก้ไขตามสะดวกเลย ตัวอย่างเอาแบบนี้แล้วกัน จะลองส่งข้อความคลิกที่รูป “ตา” พิมพ์ข้อความอะไรก็ได้ แล้ว กด Submit โลด กลับไปหน้า Form ของเราใน tab แรก มันก็จะมี RESPONSES เข้ามา เมื่อคลิกดูก็จะพบข้อความที่เราเพิ่งพิมพ์ไปเมื่อตะกี้ ใส่ code ใน Script Editor คลิกที่ จุด 3 จุด ด้านขวาบน แล้วเลือก  <> Script Editor จะพบหน้าเปล่าๆ ที่ไม่คุ้นเคย ตรงนี้แหละที่เราจะมาใส่ code ใ...

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint)

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ( Carbon Footprint) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ( Carbon Footprint) คืออะไร ในภาวะโลกร้อนที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งสาเหตุที่สำคัญคงหนึไม่พ้นเกิดจากกิจกรรมต่างของมนุษย์เรานั่นเอง ทั้งจากการใช้พลังงาน การทำลายทรัพยากรธรรมชาติเช่น การตัดไม้ทำลายป่า การขนส่ง และการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และในปัจจุบันเราจะพบว่าในหลาย ๆ ประเทศได้มีความตื่นตัวในเรื่องเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนกันมากขึ้น และสิ่งหนึ่งที่ให้ความสนใจก็คือ การที่จะร่วมมือกันผลิตและบริโภคผลิตัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีทั้งการเชิญให้ผู้ผลิตได้เข้าร่วมโครงการเพื่อให้ได้รับเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และเชิญชวนให้ผู้บริโภคหันมาซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากแสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์อีกด้วย คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ( Carbon Footprint, CF) คือ การวัดผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ( Greenhouse Gases, GHGs) จากกระบวนการผลิตสินค้าตลอดวัฎจักรชีวิต ( Product Life Cycle) โดยเริ่มตั้งแต่ การจัดหาวัตถุดิบนำไปแปรรูป ผลิต จดจำหน่าย การใช้งาน และการจัดการหลังจากผลิ...

ทำความเข้าใจ LM, NTLM, NTLMv2

ทำความเข้าใจ LM, NTLM, NTLMv2  วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการเก็บ password ของ Windows โดยแต่ก่อนจนถึงปัจจุบันก็มีพัฒนาการมาเรื่อยๆครับ ซึ่งจะเริ่มจาก LM (Lan Manager) hash โดย LM นั้นเป็นรูปแบบดั้งเดิมในการเก็บ password ของ Windows ตั้งแต่ยุค 1980 ซึ่งในช่วงนั้นยังมีจำนวน charset ที่ยังจำกัดอยู่(16-bits characters) ซึ่งทำให้การ crack password นั้นทำได้ง่ายมากโดยดึงจาก SAM database บน Windows หรือว่า NTDS บน Domain Controller (Active Directory) ได้เลย โดยขั้นตอนการเปลี่ยน password อยู่ในรูปแบบ LM hash คือ เปลี่ยนอักษรทั้งหมดเป็นตัวใหญ่ หากตัวอักษรไม่ครบ 14 ตัวอักษรก็จะเติมตัวอักษรทั้งหมดให้เต็มด้วย NULL characters แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 7 ตัวอักษร สร้าง DES key จาก character 7 ตัวทั้ง 2 กลุ่ม ก็จะได้ DES key 2 ชุด (ชุดละ 64 bit) นำ DES key ไปเข้ารหัส static string “KGS!@#$%” ด้วย DES (ECB) นำ encrypted strings ทั้ง 2 อันมาต่อกัน ก็จะได้เป็น LM Hash เช่น สมมติ password เป็น password password => password000000 PASSWORD000000 PASSWOR...