ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

DATA WAREHOUSE

DATA WAREHOUSE


      Data Warehouse คือ คลังของข้อมูลที่ผ่านกระบวนการสารสนเทศแล้ว และได้รับการออกแบบมาเพื่อจัดเก็บข้อมูลที่ปริมาณมาก เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งขององค์กรทั้งหมด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยข้อมูลที่เก็บจะต้องเป็นข้อมูลสารสนเทศ (Data Information)

DATABASE เหมือนหรือต่างกับ DATA WAREHOUSE อย่างไร?

  • Database คือฐานข้อมูลที่ใช้จัดเก็บข้อมูลขององค์กรทั่วไป เช่น ข้อมูลสินค้าก็จะเก็บเฉพาะรายละเอียดของสินค้านั้น ๆ โดยเก็บเป็นหมวดหมู่แยกประเภทเอาไว้ ถ้าข้อมูลพนักงานก็จะเก็บเฉพาะพนักงาน ซึ่งอาจจะมีข้อมูลบางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพได้
  • Data Warehouse ถูกออกแบบมา เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในทุกส่วนขององค์กรธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเก่าและใหม่โดยไม่มีการลบข้อมูลเก่าทิ้งทั้งที่ไม่จริงในปัจจุบันก็ตาม

Data Warehouse คือ ที่เก็บข้อมูลที่มีประโยชน์ มีการจัดสรร การจัดเก็บ มีหลายมิติ(Multidimensional) เช่น ช่วงเวลา ตรงนี้ก็ต้องตรงกับ Business Logic และวัตถุประสงค์ของแอพพลิเคชั่นที่จะนำมาใช้ เพื่อให้สอดคล้อง ดังนั้นจึงมักมีการจัดเก็บเป็นมิติต่าง ๆ มากมาย
Data Mart คือ ที่เก็บข้อมูลที่ไม่มากเท่ากับคลังสินค้า ให้นึกถึงสินค้าขายปลีก ที่สามารถเบิกจ่ายได้ง่ายสะดวก ไม่ยากเหมือนกับคลังสินค้า
Data Gathering คือ การรวบรวมข้อมูล ทุกอย่างที่คาดว่ามีประโยชน์ ไม่เว้นแม้จากกระดาษ ใบเสร็จ ทำหน้าที่เหมือนนักสืบ ที่ต้องสืบวิเคราะห์หาข้อมูลว่าอะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์ เพื่อนำมาทำความสะอาด เพื่อนำกลับมาใช้และจัดเก็บต่อไป
Data Cleansing คือ การทำความสะอาดข้อมูล เพื่อลบข้อมูลขยะทิ้งไป ตรงนี้ก็ยาก เพราะต้องแยกข้อมูลว่าอะไรมีประโยชน์อะไรไม่มีประโยชน์
Trend ในอนาคต BI (Business Intelligence) จะมีบทบาทมากขึ้น จะไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือธรรมดาๆ แต่จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญขององค์กรธุรกิจและเป็นตัวสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ (Competitive Advantage) สร้างได้อย่างไร

สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้วย BI (BUSINESS INTELLIGENCE)

Business Intelligence(BI)  ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างองค์กรให้แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ในยุคของการแข่งขันทางธุรกิจ Business Intelligence(BI) จะให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์แก่ผู้บริหารขององค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ และได้รับการสนับสนุนจากพนักงานระดับปฏิบัติการ ความได้เปรียบในการแข่งขันเกิดขึ้นได้จากผู้บริหารสามารถวิเคราะห์แนวโน้มทางการตลาด และมีแนวทางในการดำเนินงานที่มีความชัดเจน รวมถึงการปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ ได้ดี
1. ผู้บริหาร การประสบความสำเร็จขององค์กรในการเป็นผู้นำทางธุรกิจ และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งขันได้ ผู้บริหารจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์และการตัดสินใจ ซึ่งจะเป็นแนวทางที่จะใช้กำหนดบทบาทและภาระหน้าที่ได้อย่างชัดเจน มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ความสำเร็จ สำหรับบทบาทของผู้นำหรือผู้บริหารที่จะทำให้องค์กรได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจควรมีดังนี้
  • วิสัยทัศน์ (Vision) ผู้บริหารองค์กรควรมีลักษณะที่ก่อให้เกิดความรู้สึกน่าสนใจ การก่อให้เกิดความหมายในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานและนโยบายมีความเป็นเลิศที่โดดเด่น และเป็นตัวเชื่อมอดีตที่จะส่งผลต่อความสำเร็จในอนาคต
  • ป้าหมาย (Goals) ควรมาจากการที่นำวิสัยทัศน์มาพิจารณา ในการกำหนดเป้าหมายที่เป็นทางการ (Official Goal) และเป้าหมายปฏิบัติการ (Operative Goals)
  • ความเชื่อร่วมกัน (Belief) ผู้บริหารและพนักงานทุกคน ที่ความรู้มีความสามารถ ที่จะทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกที่จะทำให้เกิดการแตกแยก
  • การกำหนดกลยุทธ์ (Strategies) เป็นหน้าที่และบทบาทของผู้บริหาร นำเป้าหมายมากำหนดนโยบาย เพื่อให้ทราบทิศทางของการดำเนินงานขององค์กรว่า ควรจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งการที่จะได้ทิศทางของการดำเนินงานที่ถูกต้องและชัดเจนนั้น ผู้บริหารจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกขององค์กร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
  • สภาพแวดล้อมภายในองค์กร (Internal Environment) เป็นสิ่งที่ผู้บริหารสามารถควบคุมได้ เป็นเครื่องมือสำหรับการควบคุมเพื่อก่อให้เกิดการได้เปรียบทางการแข่งขัน มีดังนี้
- จุดแข็ง (Strengths) คือข้อได้เปรียบ และมีความแตกต่างไปจากคู่แข่งขันทางธุรกิจ
- จุดอ่อน (Weaknesses) คือข้อบกพร่องหรือจุดอ่อน การยอมรับจุดอ่อนและทำให้กลับกลายเป็นจุดแข็ง ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งของการสร้างศักยภาพของการแข่งขันทางธุรกิจ
  • สภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร (External Environment) เป็นสิ่งที่ผู้นำหรือผู้บริหารไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากที่วิสัยทัศน์กว้างไกล มักจะคาดการณ์ล่วงหน้าถึงสภาพปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นมาในอนาคต โดยศึกษาเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
- โอกาส (Opportunities) มีอยู่ทั่วไปในธุรกิจ ผู้บริหารควรจะนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพขององค์กร และการได้เปรียบทางการแข่งขันพิจารณาทางโอกาสที่เหนือกว่าผู้อื่น
กลยุทธ์การแข่งขันของพอร์ตเตอร์ (Porter Competitive Strategies)
  1. การลดต้นทุนทางการจัดการ (Low – Cost Leadership) พิจารณาสภาพแวดล้อมภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คู่แข่งขันทางธุรกิจมาเป็นแนวทางในการลดต้นทุนทางการจัดการขององค์กร
  2. การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ทำให้เป็นเอกลักษณ์ขององค์กร ซึ่งเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจ อาจจะเป็นความแตกต่างในกระบวนการทำงานขององค์กร หรือสินค้าและบริการ
  3. การมุ่งเน้นเฉพาะ (Focus) การได้เปรียบทางการแข่งขัน ผู้นำหรือผู้บริหารจะต้องพิจารณาเน้นเฉพาะกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจ ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความพึงพอใจได้อย่างเต็มที่

2. พนักงานระดับปฏิบัติการ
  • บทบาทในการเป็นผู้ปฏิบัติตามกลยุทธ์ขององค์กร ควรมีแนวคิดในการปฏิบัติตามแนวทางกลยุทธ์ขององค์กร คือถ้าองค์กรสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในธุรกิจ พนักงานทุก ๆ คนก็จะอยู่รอดไปด้วยกัน และถ้าหากพนักงานทุก ๆ คน มีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ขององค์กรอย่างเต็มที่ องค์กรก็อาจจะได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจ ก็หมายความว่า ผลประโยชน์ต่าง ๆที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรและพนักงานทุกคน การที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจและได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจส่วนมากแล้ว พนักงานทุกคนมีความสามัคคีร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน การไว้ใจซึ่งกันและกัน และการต่อสู้กับอุปสรรคและปัญหาอย่างเต็มที่
  • บทบาทในการเป็นผู้ส่งเสริมและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ในการทำให้กลยุทธ์ขององค์กรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น การได้เปรียบทางการแข่งขัน ควรเริ่มต้นจากผู้บริหารในการกำหนดวิสัยทัศน์ กำหนดเป้าหมาย กำหนดคุณค่าและความเชื่อร่วมกัน และการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งประสิทธิผลขององค์กรโดยส่วนรวม โดยการพิจารณาจากทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน บุคลากรผลิตภัณฑ์ หรือชื่อเสียงขององค์กร

Business Intelligence(BI) มีส่วนช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารในการช่วยกำหนดแนวทางการลงทุนและการคาดการล่วงหน้า เพื่อกำหนดนโยบายในการบริหารงาน เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายและลดความเสียเปรียบทางธุรกิจ
Credit:http://www.imd.co.th/knowledges.php?id=9
          http://www.imd.co.th/knowledges.php?id=2

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีใช้ Google Form ส่งข้อความเข้า LINE Notify

วิธีใช้ Google Form ส่งข้อความเข้า LINE Notify           ขั้นตอนต่อไปนี้จะข้ามส่วนของรายละเอียดบางอย่างไป ซึ่งก่อนจะทำตรงนี้ควรจะรู้แล้วว่า LINE Notify ใช้ทำอะไร และ Access Token จะเอามาจากไหน แต่จะพยายามอธิบายให้ครอบคลุมที่สุดก็แล้วกัน Update: 2019/06/10 ในท้ายบทความได้เพิ่มคำอธิบายเรื่องการส่งข้อมูลหลายกล่องข้อมูล (คอลั่ม) พร้อมกับ code ที่วนลูปข้อมูลทุกกล่อง เพื่อความสะดวกในการส่งข้อมูลในรูปแบบเดิม สร้าง Google Form วิธีสร้างก็ง่ายแสนง่าย เข้าไปที่  https://docs.google.com/forms  จากนั้น คลิกตรงเครื่องหมาย + ตามภาพ จะได้ form หน้าตาแบบนี้มา แก้ไขตามสะดวกเลย ตัวอย่างเอาแบบนี้แล้วกัน จะลองส่งข้อความคลิกที่รูป “ตา” พิมพ์ข้อความอะไรก็ได้ แล้ว กด Submit โลด กลับไปหน้า Form ของเราใน tab แรก มันก็จะมี RESPONSES เข้ามา เมื่อคลิกดูก็จะพบข้อความที่เราเพิ่งพิมพ์ไปเมื่อตะกี้ ใส่ code ใน Script Editor คลิกที่ จุด 3 จุด ด้านขวาบน แล้วเลือก  <> Script Editor จะพบหน้าเปล่าๆ ที่ไม่คุ้นเคย ตรงนี้แหละที่เราจะมาใส่ code ใ...

ทำความเข้าใจ LM, NTLM, NTLMv2

ทำความเข้าใจ LM, NTLM, NTLMv2  วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการเก็บ password ของ Windows โดยแต่ก่อนจนถึงปัจจุบันก็มีพัฒนาการมาเรื่อยๆครับ ซึ่งจะเริ่มจาก LM (Lan Manager) hash โดย LM นั้นเป็นรูปแบบดั้งเดิมในการเก็บ password ของ Windows ตั้งแต่ยุค 1980 ซึ่งในช่วงนั้นยังมีจำนวน charset ที่ยังจำกัดอยู่(16-bits characters) ซึ่งทำให้การ crack password นั้นทำได้ง่ายมากโดยดึงจาก SAM database บน Windows หรือว่า NTDS บน Domain Controller (Active Directory) ได้เลย โดยขั้นตอนการเปลี่ยน password อยู่ในรูปแบบ LM hash คือ เปลี่ยนอักษรทั้งหมดเป็นตัวใหญ่ หากตัวอักษรไม่ครบ 14 ตัวอักษรก็จะเติมตัวอักษรทั้งหมดให้เต็มด้วย NULL characters แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 7 ตัวอักษร สร้าง DES key จาก character 7 ตัวทั้ง 2 กลุ่ม ก็จะได้ DES key 2 ชุด (ชุดละ 64 bit) นำ DES key ไปเข้ารหัส static string “KGS!@#$%” ด้วย DES (ECB) นำ encrypted strings ทั้ง 2 อันมาต่อกัน ก็จะได้เป็น LM Hash เช่น สมมติ password เป็น password password => password000000 PASSWORD000000 PASSWOR...

The Spiral Model

The  Spiral  Model                                                 Spiral  Model  คือ   Software  Development  Process  ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเอาจุดแข็งของ   Development  Model  อื่นที่ดีอยู่แล้วมาประยุกต์  ( waterfall  model )  และเพิ่มเติมส่วนของการวิเคราะห์  และตีค่าความเสี่ยงที่เกิดเพื่อจะได้ทราบว่าจุดใดมีความเสี่ยงมากน้อยขนาดไหน  จะได้หาวิธีลดความเสี่ยง  ซึ่งความเสี่ยงเป็นสาเหตุ  ที่ทำให้การพัฒนาไม่ประสบความสำเร็จ  การวิเคราะห์หรือต้นเหตุของความเสี่ยง  ก็เพื่อที่จะหาวิธีการที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงน้อยที่สุด  รวมถึงวิธีการแก้ไขเมื่อเกิดเหตุการที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น  ถ้าความเสี่ยงน้อยลง  ก็ทำให้   Cost  หรือ ต้นทุนที่ใช้ก็จะลดลงต...